Saturday, April 21, 2007

พาหุยุทธปลุกสำนึกห้ามหลงลืมความเป็นไทย


ปุ่นชูมวยไทยของโบราณอย่ามองเชย

มีจุดประสงค์ชัดเจนในการทำหนัง พาหุยุทธ กับค่ายโมโนฟิล์ม อย่างชัดเจน หวังจุดจิตสำนึกให้เห็นคุณค่าความเป็นไทย พร้อมแทรกปรัชญาการเล่นกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ซึ่งผู้กำกับฯ เลือดรักไทย ปุ่นปิติ จตุรภัทร์ เผยว่า

หนังเรื่อง พาหุยุทธ ถ่ายทำเสร็จเร็วเนื่องจากนักแสดงเค้าซ้อมกันมานานแล้ว คิวมันถูกเซ็ตอัพไว้เรียบร้อยพอไปถึงโลเกชั่นก็รอแค่เซ็ตอัพเสร็จก็ทำงานได้เลย โชคดีที่ระหว่างการถ่ายทำมันไม่มีอุบัติเหตุด้วย หนังเรื่อง พาหุยุทธ มันเป็นหนังที่พูดถึงเรื่องที่เราหลงลืมจากความเป็นไทย แล้วข้ออ้างมันคือเวลาคนต่างชาติเค้าหันกลับมาสนใจเราถึงเห็นคุณค่า คนมักจะชอบถามผมว่าทำหนังเรื่องนี้เพื่อตอบโจทย์คนไทยหรือชาวต่างชาติ ผมอยากบอกว่าเราทำหนังเรื่องนี้เพื่อต้องการเตือนคนไทยไม่ให้ลืมขนบธรรมเนียมดีๆ ของเรา งานชิ้นนี้มันกำลังบอกว่าจริงๆ เรามีอะไรอยู่ ของที่คิดว่ามันโบราณมันไม่ใช่เรื่องเชยเสมอไป อย่างมวยไทย มวยไชยา ศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ฝรั่งเค้าสนใจซึ่งมันเป็นของคนไทยด้วยซ้ำ แล้วหนังเรื่องนี้มันตอบปรัชญาของการเล่นกีฬาของคนไทยว่ารู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยคืออะไร

ณ วันนี้มั่นใจกับหนังมากน้อยแค่ไหน มันสมบูรณ์เท่าที่มันควรจะเป็น แต่ว่าสิ่งที่พอใจที่สุดกลับไม่ใช่การทำให้งานเสร็จ หรือเรื่องรายได้ แต่สิ่งที่ผมมีความสุขคือ 1.ผมได้อนุรักษ์ศิลปะที่มันถูกสืบทอดกันมานานแล้ว 2.เราได้ทำในสิ่งที่สื่อสารมวลชนคนหนึ่งควรจะทำคือมีเรื่องดีที่ไหนก็จะบอก 3.เรามีความพอใจในประเด็นของหนังที่กำลังจะพูด เราได้เสนอเรื่องเหล่านี้ก็มีความสุขแล้ว ผู้กำกับฯ กล่าว

----------------------

สำหรับภาพยนต์เรื่องพาหุยุทธนี้ทางทีมงานสร้างได้มาติดต่อครูแปรงให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ในภาพยนต์โดยเฉพาะในด้านของมวยโบราณไชยา ก็นับว่าเป็นภาพยนต์เรื่องแรกที่ครูแปรงและพี่พงษ์ได้ร่วมแสดงด้วย (ในอนาคตอาจจะดังสูสีกับจา พนม นะครับ รีบขอลายเซ็นไว้ก่อนนะครับ ^_^)ยังไงก็หวังว่าจะช่วยกันอุดหนุนหนังด้วยละกันนะครับ น่าจะถูกใจคอแนวหนังการต่อสู้นะครับ เจอกันในโรงภาพยนต์เร็วๆนี้นะครับ

“กอล์ฟ-ไมค์” ชวนเพื่อนอนุรักษ์ศิลปะป้องกันตัว มวยไชยา



“กอล์ฟ-ไมค์” ชวนเพื่อนอนุรักษ์ศิลปะป้องกันตัว

“กอล์ฟ-ไมค์” ชวนเพื่อนอนุรักษ์ศิลปะป้องกันตัว ควงคู่ฝึกมวยไชยาใน “เวคคลับ” ติดตามชมได้อาทิตย์ที่ 4 มี.ค. เวลา 10.55-11.50 น. ทางททบ.5

อัลบั้มใหม่ล่าสุดกำลังวางแผงพอดี สำหรับ 2 พี่น้องสุดหล่อ “กอล์ฟ-ไมค์” รายการ “เวคคลับ” วันอาทิตย์ที่ 4 มี.ค.นี้ก็ไม่พลาดที่จะชวนมาทำกิจกรรมเด็ด โดยคราวนี้สองหนุ่มอาสาพาไปเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวของไทย “มวยไชยา” ซึ่งเพื่อนๆ อาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อกันนัก เพราะเป็นมวยโบราณของไทยที่สมัยนี้ไม่ค่อยจะมีให้เห็นกันเท่าไร พอมาถึงมูลนิธิมวยไชยา “กอล์ฟ-ไมค์” ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมเรียนรู้วิชากันทันที




ก่อนจะไปฝึกมวยกันก็ต้องมาทำความรู้จักกับครูฝึกคือ “ครูแปรง” จากนั้นครูเริ่มสอนท่าง่ายๆ เป็นการวอร์มร่างกายกันก่อน ตั้งแต่การตั้งการ์ด การก้าวเดินแบบมวยไชยา ดูทั้งสองหนุ่มจะสนุกสนานและตั้งใจในการฝึกมวยอย่างเต็มที่ เพราะชอบกีฬาการต่อสู้อยู่แล้วด้วย โดยเฉพาะตอนที่ครูบอกว่าจะสอนท่ามวยไชยาแบบง่ายให้คนละท่า ทั้งสองพี่น้องกระตือรือร้นอยากจะเรียนไวๆ โดยครูสอนท่า “หนุมานเหยียบกรุงลงกา” ให้กับ “กอล์ฟ” ได้ลองฝึกซ้อมดู พอครูทำท่าให้ดูเท่านั้นแหละ “กอล์ฟ” ผู้พี่ถึงกับอ้าปากค้างเพราะท่านี้ “กอล์ฟ” จะต้องขึ้นเหยียบบนหน้าขาของนักเรียนที่มาเป็นคู่ฝึกให้ กว่าจะขึ้นเหยียบได้ “กอล์ฟ” ก็ลื่นอยู่หลายรอบ แต่แล้วความพยายามก็สำเร็จ สามารถทำท่าแบบที่ครูสอนจนได้



ด้านน้องชายนาย “ไมค์” ก็ขอลองทำท่าแบบพี่ “กอล์ฟ” ดูบ้าง ตอนแรกดูมั่นใจเต็มร้อย พอเอาเข้าจริงกระโดดเหยียบพลาดล้มไปนอนกับพื้น เรียกเสียงหัวเราะจากพี่ชายที่ไม่ยอมช่วยประคองน้องกลับขำใส่แทน คราวนี้มาถึงท่า “เสือเวียนถ้ำ” ที่ครูจะสอนให้ “ไมค์” บ้าง โดยท่านี้จะต้องใช้กำลังอย่างมากเพราะจะต้องอุ้มคู่ซ้อมหมุนหนึ่งรอบ “ไมค์” ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำตามที่ครูสอนเต็มที่ ถึงขนาดครูฝึกสอนเอ่ยชมว่าหน่วยก้านดี ฝึกอีกหน่อยคงจะเก่งไม่ใช่ย่อย ทำเอา “ไมค์” ยิ้มปลื้ม

“กอล์ฟ-ไมค์” เล่าว่า “การฝึกมวยไชยานี่ก็คล้ายๆ การเต้นของพวกเรา เพราะต้องอาศัยพละกำลังและสมาธิอย่างมาก พวกเราว่าจะเอาไปประยุกต์กับการเต้นดูบ้าง แล้วยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีทีเดียว แถมยังได้เรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวของไทยในสมัยก่อนด้วย อยากให้เพื่อนๆ มาลองฝึกกันเป็นการอนุรักษ์ศิลปะมวยของชาติเราเอาไว้”

อยากเห็นลีลาแมนๆ มาดนักมวยของ “กอล์ฟ-ไมค์” ว่าจะเท่แค่ไหนนั้น ต้องติดตามชมในรายการ “เวคคลับ” วันอาทิตย์ที่ 4 มี.ค.นี้ เวลา 10.55-11.50 น. ทางททบ.5

Credit : http://www.gmm-tv.com/board_ans.php?q_id=1...a1ec27706bc8c52

Wednesday, April 18, 2007

ท่าครู (แม่ไม้)



.....ท่าครูมวยไชยา ซึ่งถือได้ว่าเป็น แม่ไม้ สำคัญ อันนับได้ว่าเป็นท่าอมตะนั้น มีชื่อว่า "ท่าย่างสามขุมคลุมแดนยักษ์" ที่นอกจากจะมีความกระชับ รัดกุม ทะมัดทะแมง แล้วยังมีเรื่องเล่าเปรียบเทียบที่มาของชื่อท่า โดยอิงจากคติความเชื่อเรื่องเทพของฮินดู ดังจะขอยกเอาข้อเขียนของ ปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ที่ท่านได้เคยกล่าวไว้ดีแล้ว เพื่อเป็นความรู้แก่อนุชนผู้สนใจ ใฝ่รู้ ดังนี้

....."...ครั้งนั้นพระอิศวรเป็นเจ้าประทับเกษมพระสำราญอยู่กับพระอุมาในแดนสวรรค์ (ตามคติของลัทธิฮินดูหรือไสยศาสตร์หมายความว่าแดนแห่งความสว่างรุ่งเรือง) พรั่งพร้อมด้วยเทพยดาและสาวสวรรค์ฟ้อนรำบำเรอถวาย โดยมีคนธรรพ
(ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่ารูปร่างครึ่งคนครึ่งเทวดา) ขับกล่อมมโหรีปี่พาทย์ระคนเสียงปี่๖๐,๐๐๐เลา (คงดังเหมือนฟ้าร้อง) เมื่อเวลางานรื่นเริงของชาวสวรรค์ยุติลง อมรใหญ่น้อยทั้งปวงเตรียมแยกย้ายกันกลับวิมานแห่งตน พระผู้เป็นเจ้าทรงชายพระเนตรเห็นอสูรตาตะวันหมอบเฝ้าอยู่แทบฐานพิมานเมฆ ก็ทรงพอพระทัย (ชอบประจบ?) ในความจงรักภัคดี จึงตรัสปราศรัยด้วยถ้อยมธุรส ฝ่ายพญายักษ์เลยลำพองใจเห็นได้ท่าก้มหัวลงกราบทูล ขอประทาน ที่ดินเป็นกรรมสิทธ์ กว้างยาวโดยคณา ๓๐๐ โยชน์ (เท่ากับ๑๐๐ ตารางไมล์) พร้อมด้วยพรว่า สัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นเดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา นาคา กุมภัณฑ์ หรืออสูรใดๆ หากบุกรุกเข้าไปในดินแดนแห่งกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว ไซร้ ขอจับกินเป็นอาหารได้ตามอำเภอใจ พระอิศวร (แก่ให้พร แต่เรียกคืนไม่ได้) ก็จำต้องประทานพรและที่ดิน ให้แก่ยักษ์ตามขอ

เมื่อท้าวตาตะวันได้สิ่งพึงประสงค์ง่ายดายสมใจก็กลับคืนสู่ที่อยู่ ข้างเขาพระสิเนรุราชบรรพต (เทือกป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นป่าหนาวจัดแถบเหนือของอินเดีย) มีความปลาบปลื้มลืมตัว เมามัวอำนาจคาดคิดจะล้มฟ้า กำเริบอยากกิน สัตว์แปลกๆ เป็นอาหารตามสันดานเลว ตั้งพิธีเพิ่มตบะร่ายมนต์วิเศษขึ้น ( คงเป็นบทที่พระสังข์ทอง เรียกเนื้อเรียกปลา? ) ด้วยแรงฤทธิ์รากษสร้าย แรงฤทธิ์วิศวมนต์
เทวดามนุษย์และสัตว์โลกน้อยใหญ่หลากหลายที่ต้องมนต์พากันหลงใหลล่วงล้ำเข้าไปใน แดนมฤตยู โดยมิได้ตั้งใจ ท้าวตาตะวันเห็นดังนั้นดีใจจนน้ำลายไหลไล่จับกิน ได้สัตว์กินสัตว์ ได้มนุษย์กินมนุษย์ ตลอดจนเทวดานางฟ้าและคนธรรพ ต่างถูกกิน คราวละมากๆไม่เว้นแต่ละวัน ร้อนถึงพวกที่ยังไม่ถูกกินต่างพากันหวั่นเกรง นั่งนอนสะดุ้ง ประสาทเสื่อมไปตามๆกัน (ยิ่งกว่าสูดควันท่อไอเสีย) จึงปรึกษาหารือ ตกลงชวนกันขึ้นเฝ้าพระอิศวร (พิเคราะห์ดูแล้ว ไม่น่าแปลกที่มีการเดินขบวนร้องทุกข์ ต่อผู้อำนวยการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อสังคม) บรรยายทุกข์ร้อนให้พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบ

.....พระอิศวรได้ฟังก็ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้เทพบุตรไปตามพระนารายณ์ ซึ่งประทับบรรทมอยู่ ณ เกษียรสมุทร ให้รีบปราบยักษ์เพื่อกำจัดยุคเข็ญโดยด่วน

.....คนไทยส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้วว่า พระนารายณ์เป็นเทพเจ้าซึ่งไม่โปรดยักษ์มารที่คตโกง การปราบปราม ก็เด็ดขาดรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตทุกราย เช่น ปราบยักษ์นนทุกข์ผู้ได้พรนิ้วเพชรแล้วเที่ยวชี้ใครต่อใครตาย เป็นระนาว หิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน เดือดร้อนแก่เหล่ามัตตัย (คนไทย) ไม่มีที่อยู่ และอสูรหอยสังข์ ผู้ขโมยคัมภีร์ประเวท เป็นต้น

.....ครั้นพระนารายณ์ได้ทราบพระโองการของพระผู้เป็นเจ้า จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์รูปงาม นวยนาดเอื่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปในแดนหวงห้าม ด้วยลักษณะที่คณาจารย์มวยให้ชื่อว่า "นารายณ์ยุรยาตร" เพื่อสังเกตทีท่าอย่างระมัดระวัง แบบนักมวยได้ยินสัญญาณระฆังให้เริ่มต่อสู้กัน

.....ทันใดนั้นอสูรตาตะวันผู้ก่อความมืดมน (ความชั่ว) แก่โลก ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าร้องว่า อ้ายหนุ่มเดนตาย มึงทะลึ่งเซ่อซ่าเข้ามาทำไม ไม่กลัวยักษ์จับกินหรือ



.....พราหมณ์แสร้งทำ (ลูกไม้) เป็นกลัว ตอบคำตะคอกของยักษ์ด้วยสำเนียงสั่นเครือว่า ท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบเท่า ข้าน้อยเดินหาที่ดินเพื่อประกอบพิธีตามตำรับพระเวทแห่งวิสัยพราหมณ์ สัก ๓ ก้าว (เล่ห์เหลี่ยม) ไม่ได้คำแหงหาญบุกรุกรบกวน ขอท่านอสูรได้โปรดเมตตาข้าด้วย เมื่อข้าประกอบพิธีเสร็จแล้ว แม้จะต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะขึ้นชื่อว่าได้ประพฤติสมบรูณ์แบบที่ได้กำเนิดเกิดมาในตระกูลพราหมณ์แล้ว

.....ท้าวตาตะวันไม่รู้กล (ไม้มวยไทย) ทะนงตนตอบว่า กูได้ที่ดินแห่งนี้มาจากพระอิศวร ถ้ามึงอยากได้เพียงใช้ประกอบพิธีกูก็จะยอมให้เท่าที่มึงต้องการโดยไม่คิดอะไรทั้งหมด
.....พราหมณ์แปลง แกล้งทำเป็นสงสัย ถามอีกครั้งว่า ท่านผู้เป็นใหญ่ (เหมือนคนไทยถูกยกย่องในครั้งแรก) ท่านกรุณาให้แล้ว จะกลับเอาคืนหรือไม่

.....อสูรตาตะวันไม่เฉลียวใจ ลั่นวาจาตอบด้วยความคะนองว่า เมื่อกูให้เป็นสิทธ์แล้ว กูก็รักษาสัจจะไม่เอาคืนเป็น อันขาด

.....ทันทีที่ได้ยินยักษ์ตั้งความสัตย์ พระนารายณ์แปลงก็สำแดงเดช ป่าหิมพานต์สะท้านสะเทือน "ย่างสามขุม" ยักเยื้องคลุมแดนยักษ์หมดทั้ง ๓๐๐ โยชน์

.....อสูรตาตะวันตกใจ ตะลึง คิดว่าคงไม่มีใครทำเช่นนั้นนอกจากองค์พระสี่กร นึกขึ้นได้ กลัวตาย รีบเผ่นหนี เพื่อเอาตัวรอด แต่ไปไม่รอด ต้องถึงกาลมอดม้วยมรณาด้วยเดชามหาอิทธิฤทธิ์แห่งเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์

.....เพราะฉะนั้นตามตำราพระเวทจึง (นับ)ถือเอาการ "ย่างสามขุม" หรือการก้าวจังหวะยักเยื้องสามเส้าเป็นแบบฉบับ ในขบวนการ "พาหุยุทธ์" หรือการชกต่อย และใช้อุปเท่ห์เล่ห์เหลี่ยมดำเนินการปลุกปราณ (จิตใจ) บรรดามัลละ ในขณะเริ่มการต่อสู้ด้วยคติที่ว่า อย่าแต่ว่าปฏิปักษ์ซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเลย แม้ยักษ์ เมื่อต้องประจันหน้ากับ ท่าทาง "ย่างสามขุม" ยังตกใจกลัวหนีจนไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้

คัดจาก หนังสือฟ้าเมืองไทย เรื่อง ปริทัศน์มวยไทย โดย ปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย